สวัสดีครับ เรื่องทฤษฎีการเรียนรู้จะกล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้ครูผู้สอนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้หรือจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเตรียมกระบวนการต่าง ๆ ในการสอนได้อย่างเหมาะสม พร้อมแล้วเริ่มเรียนรู้กันเลยนะครับ
ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นแนวความคิดที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถใช้อธิบายลักษณะการเกิดการเรียนรู้หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ การจัดการเรียนรู้คือแนวคิดที่เป็นหลักของการปฏิบัติทางการสอนที่สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ต่าง ๆ (ทิศนา แขมมณี, 2561) การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้พยายามศึกษาสภาพการเรียนรู้ของมนุษย์ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร มีกระบวนการอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการถ่ายโอนความรู้ไปสู่สถานการณ์ได้อย่างไร (เบญจวรรณ กี่สุขพันธ์, 2558)
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข
พาฟลอฟ เชื่อว่า สุนัขเกิดการเรียนรู้ โดยการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง โดยเรียกรูปแบบของการเชื่อมโยงว่า “การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค” และทำให้ทราบว่าการเรียนรู้เกิดจากการสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยง ระหว่างการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นกลาง ซึ่งสรุปเป็นกฎเกณฑ์การเรียนรู้ได้ 4 ข้อ ดังนี้
ส่วนการศึกษาทฤษฎีการวางเงื่อนไขของวัตสันทำให้ทราบว่า อารมณ์กลัวของมนุษย์ เกิดจากการเรียนรู้ที่ถูกการวางเงื่อนไขให้ตกใจหรือกลัว
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบการกระทำ สกินเนอร์ (Skinner) เสนอทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทำ ซึ่งเกิดจากบุคคลหรือสัตว์ เรียนรู้ผลของการกระทำที่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม และจะกระทำหรือไม่กระทำพฤติกรรมซ้ำ ขึ้นอยู่กับผลที่ได้รับจากการกระทำ ถ้าได้ผลที่ปรารถนาก็จะทำซ้ำ แต่ถ้าไม่ได้ผลที่ปรารถนาจะไม่ทำซ้ำอีก สกินเนอร์ เชื่อว่า การเชื่อมโยงความรู้จะเกิดจากรางวัลกับการตอบสนอง ไม่ใช่สิ่งเร้ากับการตอบสนอง โดยการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ เป็นส่วนของการตอบสนองสิ่งเร้าที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเป็นการแสดงพฤติกรรมที่มนุษย์มักจะกระทำพฤติกรรมบางอย่างเมื่อได้รับผลตอบแทนเป็นที่น่าพอใจ และจะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่างที่ทำแล้วได้รับการลงโทษ “การกระทำที่ได้รับการเสริมแรง มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดพฤติกรรมนั้นอีก”
สกินเนอร์ใช้หนูในการทดลอง โดยสร้างกล่องทดลองที่เรียกว่า “Skinner box” ภายในกล่องมีหลอดไฟฟ้าต่อวงจรไว้กับคานเล็ก ๆ ถ้าหนูไปแตะหรือเหยียบคาน หลอดไฟจะสว่างพร้อมกับมีเสียงดังแกรกและมีอาหารหล่นลงมา สกินเนอร์นำหนูที่กำลังหิวมาทดลองโดยใส่ไว้ในกล่อง หนูจะวิ่งไปมาจนกระทั่งบังเอิญไปเหยียบคาน ปรากฏว่าหลอดไฟสว่างพร้อมกับเสียงดังแกรกและมีอาหารหล่นลงมา หนูก็รีบไปกินอาหาร จากนั้น หนูก็จะเวียนเฝ้ามาเหยียบคานและวิ่งไปคอยรับอาหาร ซึ่งในครั้งแรกหนูจะเกิดการเรียนรู้แบบทั่วไป (Generalization) คือ การเหยียบคานทุกครั้งจะได้รับอาหาร แต่ต่อมาหนูจะเรียนรู้ว่าต้องเหยียบคานและได้ยินเสียงดังแกรกเท่านั้นจึงจะได้รับอาหาร ซึ่งเรียกว่าเป็นการเรียนรู้แบบจำแนก (Discrimination)
สรุปกฎการเรียนรู้แบบการกระทำของสกินเนอร์
การเสริมแรง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากการกระทำซึ่งจะมีผลทำให้โอกาสที่จะเกิดพฤติกรรมมีมากขึ้น
ทฤษฎีการสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยง ธอร์นไดค์ (Thorndike) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งจิตวิทยาการเรียนรู้” การทดลองของธอร์นไดค์ทำให้เกิดความเชื่อว่า “มนุษย์จะกระทำในสิ่งที่สร้างความพึงพอใจ และจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดความไม่พอใจ” ธอร์นไดค์เห็นว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง และการตอบสนองที่ได้รับการเสริมแรง ทำให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองมากขึ้น การทดลองของเขาจึงได้ชื่อว่า “ทฤษฎีการสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยง”
การทดลองในช่วงแรกแมวมีปฏิกิริยาตอบสนองหลายอย่าง เช่น ข่วน ตะกุย ตะกายผนัง จากนั้นเมื่อแมวไปเหยียบคานไม้โดยบังเอิญ ทำให้ประตูกรงเปิดและแมวสามารถออกไปกินปลาได้ การทดลองซ้ำมากขึ้นจะทำให้พฤติกรรมการเดาสุ่มของแมวลดลง และในที่สุดแมวสามารถเหยียบคานไม้ทำให้ประตูกรงเปิดและออกมากินปลาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกอีกเลย การที่แมวกระทำพฤติกรรมซ้ำจะมีความสัมพันธ์กับผลของการกระทำเรียกว่า กฎแห่งผล (Law of Effect) ความรู้จากทฤษฎีของธอร์นไดค์ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการจัดการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเรียนด้วยวิธีการต่างๆ การยกตัวอย่างการนำเข้าสู่บทเรียน การทบทวน การใช้สื่อประกอบ นอกจากนี้ ข้อสรุปเรื่องผลของการกระทำ ยังได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และพัฒนาตนเองต่อไป
กฎการเรียนรู้ตามทฤษฎีของธอร์นไดค์
ทฤษฎีความต่อเนื่องของกัทธรี กัทธรี (Guthrie) มีหลักการว่า การเรียนรู้เกิดจากการกระทำ คือมีความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองที่เข้าคู่กันได้ในลักษณะที่มีการกระทำหรือสัมผัสไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง ก็เกิดการเรียนรู้ได้ เช่น อ่านหนังสือสอบ กฎการเรียนรู้แบบทฤษฎีความต่อเนื่องของกัทธรี สรุปได้ดังนี้
ทฤษฎีการเสริมแรงของฮัลล์ ฮัลล์ (Clark L. Hull) เชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากการเสริมแรง เช่นการให้รางวัลเพื่อก่อให้เกิดการลดแรงขับหรือความต้องการ ซึ่งจะช่วยทำให้บุคคลเกิดการเรียนรู้ได้เพิ่มมากขึ้น
การเสริมแรง หมายถึง ลักษณะการให้รางวัลเพื่อก่อให้เกิดการลดแรงขับหรือความต้องการ
แรงขับ หมายถึง สภาพความเครียดอันเป็นผลมาจากความต้องการและรางวัล
รางวัล หมายถึง ความพอใจที่ได้ตอบสนองความต้องการหรือได้ลดแรงขับ
การเสริมแรงในทัศนะของฮัลล์ มี 2 ประเภท คือ
การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ถ้าให้แรงขับหรือความต้องการของร่างกายลดน้อยลง ซึ่งสรุปเป็นแนวคิดการเรียนรู้ดังนี้
ทฤษฎีสนามของเลวิน เคิร์ท เลวิน (Kurt lewin) มีแนวคิดในการเรียนรู้ที่เน้น “ส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย” การรับรู้นั้นต้องมีการจัดหมวดหมู่หรือรูปแบบของสิ่งเร้าอย่างเป็นสัดส่วน ทฤษฎีสนามของเลวิน เน้นเรื่อง “แรงจูงใจ” ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมเป้าหมาย หรือแรงจูงใจที่เป็นแรงผลักดันให้ผู้เรียนทำพฤติกรรมอย่างมีเป้าหมายและทิศทาง
ทฤษฎีการเรียนรู้ของทอลแมน เอ็ดเวิร์ด ทอลแมน (Edward C. Talman) มีหลักการว่า “การเรียนรู้เกิดจากการที่บุคคลตอบสนองต่อสิ่งเร้าโดยใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์เป็นแนวทางในการนำไปสู่เป้าหมาย ทำให้เกิดการเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ ในการสอนให้ผู้เรียนบรรลุถึงจุดมุ่งหมายใด ๆ นั้น ครูควรให้เครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่น ๆ ที่เป็นเครื่องชี้ทางควบคู่ไปด้วย
การนำทฤษฎีการเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้
References: